Why AI and Prevention-First Cybersecurity Are Critical for Insurers and Cyber Policyholders
สถานการณ์ของ ransomware ทุกวันนี้ เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงจากอดีต ไม่เคยรุนแรงหรือซับซ้อนแบบนี้มาก่อน

แฮกเกอร์หรือผู้โจมตีในปัจจุบันมีความ ฉลาดขึ้น เร็วขึ้น และปรับตัวได้ดีกว่าเดิม พวกเขาใช้เครื่องมือที่ขับเคลื่อนด้วย AI (AI-driven tools) เพื่อหลีกเลี่ยงการป้องกันแบบดั้งเดิม และเจาะช่องโหว่ได้อย่างแม่นยำ สำหรับทั้ง insurers และ cyber insurance policyholders ความเสี่ยงในตอนนี้ สูงกว่าที่เคยเป็นมา ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2025 ค่าไถ่เฉลี่ยจากการโจมตี ransomware พุ่งขึ้นถึง 1.13 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และกว่าสองในสามของการจ่ายเงินเหล่านั้นเกิดจากการที่ระบบสำรองข้อมูล (backup) ล้มเหลว
– อ้างอิงจาก Morphisec Research
ในฐานะ Chief Marketing Officer (CMO) ของ Morphisec ซึ่งเป็นผู้นำด้าน Cybersecurity ที่เน้นการป้องกันเป็นอันดับแรก (Prevention-First Cybersecurity) ผมได้เห็นด้วยตาตัวเองว่า AI ไม่ได้แค่เปลี่ยนเกม แต่กำลังเขียนกติกาใหม่ทั้งหมด
ทั้งบริษัทประกันภัย (insurers) และ ผู้ถือกรมธรรม์ไซเบอร์ (policyholders) จำเป็นต้องเร่งดำเนินการทันที โดยต้องนำเอามาตรการรักษาความปลอดภัยที่ พร้อมรับอนาคต (future-ready security) มาใช้ ซึ่งต้องก้าวข้ามแนวทางแบบเดิมที่เน้นแค่การตรวจจับ (detection) และการตอบสนอง (response)
บทความนี้จะอธิบายถึง ความท้าทายที่เกิดจาก ransomware ที่ขับเคลื่อนด้วย AI (AI-driven ransomware) และเหตุผลว่าทำไม แนวทาง “Prevention-First” จึงเป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันล่วงหน้าและนำหน้าเกมภัยไซเบอร์ได้จริง
The AI-Driven Ransomware Era: A New Frontier of Risk
เทคโนโลยี AI ทำให้สถานการณ์ของ ransomware ยุ่งยากและคาดเดาได้ยากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ผู้โจมตีตอนนี้ใช้ AI เพื่อ:
- สร้างแคมเปญฟิชชิ่งที่เล็งเป้าสูง (hyper-targeted phishing campaigns): AI ช่วยขจัดอุปสรรคด้านภาษาและสร้างข้อความหลอกลวงที่น่าเชื่อถือมาก ทำให้การโจมตีเชิง social engineering เพื่อเข้าถึงระบบเริ่มต้นได้ง่ายขึ้น
- เอาเปรียบช่องโหว่แบบเรียลไทม์: แรนซัมแวร์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI เช่น PromptLock ปรับพฤติกรรมแบบไดนามิกเพื่อเลี่ยงการป้องกันแบบเดิม — ผลลัพธ์คือการเข้ารหัสข้อมูล (encryption) และการขโมยข้อมูลออกไป (exfiltration) ในลำดับที่ไม่คาดคิด ทำให้ตรวจจับและตอบโต้ยากขึ้น
- ขยายช่องโหว่ในโค้ดที่ช่วยด้วย AI (AI-assisted code): เครื่องมือ AI ช่วยเร่งการพัฒนาโค้ด แต่ถ้าฐานข้อมูลที่ใช้ฝึก (training datasets) มีข้อบกพร่องหรือช่องโหว่ ก็มีโอกาสให้โค้ดที่ออกมาฝังจุดอ่อนใหม่ๆ ที่ผู้โจมตีสามารถใช้ประโยชน์ได้
สำหรับ บริษัทประกันภัย (insurers) ความก้าวหน้าเหล่านี้ทำให้การ คาดการณ์และจัดการความเสี่ยง ยากขึ้นกว่าเดิมอย่างมาก ส่วนผู้ถือกรมธรรม์ไซเบอร์ (policyholders) — การพึ่งพาเครื่องมือแบบเก่าที่เน้น การตรวจจับ (detection-based tools) เช่น Managed Detection and Response (MDR) และ Endpoint Detection and Response (EDR) นั้นไม่เพียงพออีกต่อไป หากไม่มีมาตรการเสริมอื่น ๆ เข้ามาช่วย

Insurers Face a Perfect Storm of Uncertainty
ผลกระทบของ ransomware ที่ขับเคลื่อนด้วย AI (AI-driven ransomware) ต่อ อุตสาหกรรมประกันภัย (insurance industry) นั้น รุนแรงและลึกซึ้งอย่างมาก
- การเรียกร้องค่าสินไหมและการจ่ายชดเชยที่เพิ่มสูงขึ้น (Rising Claims and Payouts):
ปัจจุบัน ransomware เป็นสาเหตุของความสูญเสียทางการเงินจากเหตุการณ์ไซเบอร์ถึง 38% — ตามรายงานของ Cyentia Institute ขณะเดียวกัน จำนวนเงินค่าไถ่เฉลี่ย (ransom payment) ก็ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผลคือ บริษัทประกันภัย (insurers) ต้องเข้มงวดมากขึ้นในการ พิจารณารับประกัน (underwriting) โดยกำหนดให้ผู้ขอเอาประกันต้องมี มาตรการความปลอดภัยขั้นสูง เพื่อช่วยลดจำนวนการเรียกร้องค่าสินไหมในอนาคต - ภัยคุกคามที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง (Evolving Threats):
การโจมตีแบบ Silent Ransom Campaigns เช่นที่ทำโดยกลุ่ม Silent Ransom Group
ไม่ใช้วิธีเข้ารหัสข้อมูล (encryption) เหมือนแรนซัมแวร์ทั่วไปอีกต่อไป แต่เน้นไปที่การขโมยข้อมูลออกจากระบบ (data exfiltration) และ การข่มขู่เรียกค่าไถ่ (extortion) แทน
— อ้างอิงจาก Morphisec Research - แรงกดดันต่อผู้ถือกรมธรรม์ (Pressure on Policyholders):
บริษัทประกันภัยเริ่มกำหนดให้ต้องมีระบบ ป้องกันเชิงรุกแบบเน้นการป้องกันก่อน (Prevention-First Defenses) เช่น การอุดช่องโหว่เสมือนแบบเรียลไทม์ (Real-Time Virtual Patching) การป้องกันระดับ Endpoint ที่ใช้เทคนิคหลอกล่อผู้โจมตี (Deception-Based Endpoint Protection) ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถูกกำหนดให้เป็น เงื่อนไขสำคัญ (prerequisites) ก่อนที่จะสามารถทำประกันภัยไซเบอร์ได้
สถานการณ์ที่ซับซ้อนราวกับ perfect storm นี้ ทำให้ทั้ง บริษัทประกันภัย (insurers) และผู้ถือกรมธรรม์ (policyholders) ต้องดิ้นรนหาทาง ปรับตัวให้ทันกับความท้าทายที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ในโลกของภัยไซเบอร์ปัจจุบัน
Why Prevention-First Strategies Are the Future
แนวทางแบบเดิมที่ พึ่งพาเครื่องมือการตรวจจับและตอบสนอง (Detection and Response Tools) เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพออีกต่อไป เพราะ ransomware ที่ขับเคลื่อนด้วย AI (AI-driven ransomware) สามารถทำงานได้รวดเร็วกว่าเครื่องมือเชิงรับ อย่าง MDR (Managed Detection and Response) และ EDR (Endpoint Detection and Response) จนองค์กรไม่ทันตั้งตัว ทำให้ยังคงตกอยู่ในความเสี่ยงดังนั้น หากต้องการ ลดความเสี่ยงอย่างแท้จริง (truly mitigate risk) องค์กรจำเป็นต้องวางรากฐานด้านความปลอดภัยไซเบอร์ (cybersecurity strategy) บนแนวคิด “การป้องกันเป็นอันดับแรก” (Prevention-First)
เหตุผลที่แนวทางแบบ “Prevention-First” (เน้นการป้องกันเป็นอันดับแรก) มีความสำคัญอย่างยิ่ง มีดังนี้:
- หยุดการโจมตีก่อนเกิดการทำงาน (Stopping Attacks Before Execution):
โซลูชั่นแบบ Prevention-First เช่นของ Morphisec สามารถสกัดกั้นภัยคุกคามตั้งแต่ก่อนที่มันจะเริ่มทำงาน (pre-execution stage) ป้องกันไม่ให้ ransomware และมัลแวร์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI (AI-driven malware) สร้างความเสียหายต่อระบบได้ตั้งแต่ต้นทาง - ลดความเสี่ยงจากการสำรองข้อมูลล้มเหลว (Mitigating Backup Failures):
เนื่องจากกว่า สองในสามของการจ่ายค่าไถ่ (ransomware payments) มาจาก การสำรองข้อมูลที่ล้มเหลว (failed backups) เครื่องมือแบบ Prevention-First จึงเข้ามาช่วย ป้องกันไม่ให้ข้อมูลถูกเข้ารหัสหรือถูกทำลายตั้งแต่ต้น ด้วยแนวทางนี้ ข้อมูลจะยังคงปลอดภัยและเข้าถึงได้ (secure and accessible) โดยไม่ต้องพึ่งพากระบวนการกู้คืน (recovery mechanisms) เพียงอย่างเดียว - ลดความเสี่ยงของบริษัทประกันภัย (Reducing Insurers’ Exposure):
เมื่อสามารถ ป้องกันการโจมตีได้ตั้งแต่ต้นทาง (prevent attacks outright) ผู้ถือกรมธรรม์ (policyholders) จะมีโอกาสเรียกร้องค่าสินไหม น้อยลงและความเสียหายก็เบากว่าเดิม ผลลัพธ์คือ บริษัทประกันภัย (insurers) สามารถนำเสนอ แผนความคุ้มครอง (coverage options) ที่มีความยั่งยืน (sustainable) และเหมาะสมกับความเสี่ยงจริงได้มากขึ้น - รับมือกับการโจมตีแบบ Silent Ransom Campaigns:
แนวทางแบบ Prevention-First ช่วยป้องกันการโจมตีที่ใช้วิธีขโมยข้อมูล (data exfiltration) และข่มขู่เรียกค่าไถ่ (extortion) โดยการแยกข้อมูลสำคัญออกจากส่วนอื่น (isolating sensitive data) และปิดกั้นการเข้าถึงที่ไม่ได้รับอนุญาต (blocking unauthorized access) อย่างมีประสิทธิภาพ

Morphisec: Future-Ready Solutions for a New Era of Risk
Morphisec กำลังนิยามความหมายใหม่ของคำว่า “พร้อมรับอนาคต” (future-ready) ในโลกของ cybersecurity แนวทางแบบ Prevention-First ของเรา ผสานเทคโนโลยีการหลอกล่อขั้นสูง (advanced deception) เข้ากับการอุดช่องโหว่เสมือนแบบเรียลไทม์ (real-time virtual patching)
เพื่อช่วยปกป้ององค์กรจากภัยคุกคามที่ซับซ้อนที่สุด ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นี่คือวิธีที่เราช่วยให้ บริษัทประกันภัย (insurers) และผู้ถือกรมธรรม์ไซเบอร์ (cyber policyholders)
สามารถรับมือกับยุคของ ransomware ที่ขับเคลื่อนด้วย AI (AI-driven ransomware era) ได้อย่างมั่นใจ:
- การป้องกันระดับ Endpoint แบบไดนามิก (Dynamic Endpoint Protection):
โซลูชั่นของเราสร้าง พื้นผิวการโจมตี (attack surface) ที่ เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทำให้ ransomware ที่ขับเคลื่อนด้วย AI (AI-powered ransomware) ไม่สามารถปรับตัวหรือดำเนินการโจมตีได้สำเร็จ - ผลตอบแทนจากการลงทุนทันทีสำหรับผู้ถือกรมธรรม์ (Immediate ROI for Policyholders):
ด้วยการ กำจัดภัยคุกคามก่อนที่มันจะเริ่มทำงาน (eliminating threats before execution)
Morphisec ช่วยลดทั้ง ระยะเวลาที่ระบบหยุดชะงัก (downtime), จำนวนเงินค่าไถ่ (ransom payments) และค่าใช้จ่ายในการกู้คืนระบบ (recovery costs) ส่งผลให้ผู้ถือกรมธรรม์ได้รับผลตอบแทนที่ชัดเจนและวัดได้ (tangible ROI) ทันที - การตอบโจทย์ความคาดหวังของบริษัทประกันภัย (Meeting Insurer Expectations):
เทคโนโลยีของเราช่วยให้ ผู้ถือกรมธรรม์ (policyholders) สามารถปฏิบัติตาม ข้อกำหนดที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอของบริษัทประกันภัย (evolving insurer requirements) ได้อย่างครบถ้วน
ผลลัพธ์คือ ผู้ถือกรมธรรม์จะได้รับ เงื่อนไขความคุ้มครองที่ดีกว่า (better coverage terms) และ อัตราเบี้ยประกันที่ต่ำลง (lower premiums)
Urgency Is the Key to Survival
การเติบโตของเทคโนโลยี AI ได้เร่งให้ สภาพการณ์ของภัยคุกคาม (threat landscape) รุนแรงและซับซ้อนขึ้น จนทำให้แนวทาง Cybersecurity แบบเน้นการป้องกันเป็นอันดับแรก (Prevention-First)
กลายเป็นสิ่งที่ จำเป็นอย่างเร่งด่วน (immediate necessity) สำหรับบริษัทประกันภัย (insurers) — หมายถึงการรักษาความยั่งยืนของโปรแกรมประกัน (sustainability of their programs) ส่วนสำหรับ ผู้ถือกรมธรรม์ (policyholders) — หมายถึงการ ปกป้องธุรกิจ ชื่อเสียง และผลกำไรของตนเอง จากภัยไซเบอร์ที่คาดเดาไม่ได้
Morphisec อยู่ในตำแหน่งที่โดดเด่นในการช่วยให้องค์กร นำหน้าและรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ได้อย่างมั่นใจ ด้วยการมอบโซลูชั่นที่พร้อมสำหรับอนาคต (future-ready solutions) ซึ่งสามารถหยุดยั้ง ransomware และภัยคุกคามที่ขับเคลื่อนด้วย AI ได้ตั้งแต่ก่อนเริ่มต้น เวลาที่ต้องลงมือคือ “ตอนนี้” (The time to act is now).
ransomware ที่ขับเคลื่อนด้วย AI (AI-driven ransomware) เป็นทั้งภัยคุกคามที่อาจสั่นคลอนการอยู่รอดของธุรกิจ (existential threat) และเป็น ความท้าทายครั้งใหญ่สำหรับบริษัทประกันภัย (critical challenge for insurers) หนทางเดียวที่เป็นไปได้คือ การเปลี่ยนแนวทางไปสู่การป้องกันเชิงรุก (proactive approach) ด้วยกลยุทธ์ Cybersecurity แบบเน้นการป้องกันเป็นอันดับแรก (prevention-first cybersecurity strategies) ที่ Morphisec — เราไม่ได้แค่ “เตรียมพร้อมสำหรับอนาคต” แต่เรากำลังสร้างอนาคตนั้นขึ้นมาด้วยตัวเอง (shaping it)
หากท่านต้องการรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Morphisec กรุณาติดต่อฝ่ายขาย
อีเมล : sales@ecs-thailand.com
